ธุรกิจไทยปรับตัวอย่างไร หลังโดนภาษีไป 19%

25 สิงหาคม 2568
ธุรกิจไทยปรับตัวอย่างไร หลังโดนภาษีไป 19%

19 % เป็นตัวเลขที่ได้ยินจากหลายวงสนทนาตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา เพราะเป็นตัวเลขอัตราภาษีนำเข้าที่ไทยได้รับจากการเจรจาปิดดีลภาษีกับสหรัฐ ที่เป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ด้วยมูลค่าการส่งออกที่มีสัดส่วน 18% จากส่งออกทั้งหมดในปี’67

โดย 19% นี้ ถือว่าต่ำกว่า 36% ที่สหรัฐเคยกำหนดไว้ก่อนหน้า และใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่ง ทำให้ธุรกิจไทยพอคลายความกังวลลงได้บ้าง

แต่ก็ต้องยอมรับว่าการปิดดีลกับสหรัฐ ทีมไทยแลนด์ต้องทำงานหนักในการเจรจา และทำให้ไทยต้องเปิดตลาดให้สหรัฐมากขึ้นด้วย ซึ่งอาจกระทบธุรกิจไทยในบางเซ็กเตอร์ อีกทั้งยังมีบางกลุ่มสินค้าที่อัตราภาษียังไม่ได้ถูกกำหนด

โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ที่ไทยส่งออกไปสหรัฐสูง ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ และที่สำคัญการค้าของโลกจะไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกต่อไป

คอลัมน์แบงก์ชาติชวนคุยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เคยชวนคุยถึงผลกระทบของพายุภาษีนำเข้าสหรัฐมาบ้างแล้ว และในตอนนี้ผลการเจรจาชัดเจนขึ้น แบงก์ชาติก็ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการมากขึ้นและกว้างขึ้น จึงอยากมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมถึงการปรับตัวของภาคธุรกิจ และตัวอย่างที่ผู้ประกอบการบางธุรกิจพยายามทำอยู่ในปัจจุบัน

ธุรกิจที่ถูกกระทบทางตรงและหนัก คือ กลุ่มอาหารแปรรูป เครื่องจักรอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อ เพราะพึ่งพิงตลาดสหรัฐเป็นหลัก จากการลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ประกอบการ แบงก์ชาติจึงมีตัวอย่างการปรับตัวในบางธุรกิจมาเล่าให้ฟัง

อาหารแปรรูป : เพิ่มมูลค่า เร่งหาตลาดใหม่

ธุรกิจอาหารแปรรูปมีสัดส่วน 0.7% ของจีดีพีไทย มีผู้เล่นทั้งรายใหญ่ถึงรายเล็ก และใช้สัดส่วนวัตถุดิบในประเทศสูง อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับเกษตรกรไทย และใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก โดยมีจ้างงานรวม 1.26 ล้านคน (3.2% ของแรงงานไทย)

ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการหลายรายได้เจรจาแบ่งภาระภาษีกับบริษัทคู่ค้าสหรัฐด้วยตนเอง และวางแผนปรับตัว โดยส่วนใหญ่เริ่มจากการลดต้นทุน เช่น ลดกำลังการผลิตและสต๊อกสินค้าตามคำสั่งซื้อที่ชะลอลง พยายามหาวัตถุดิบและส่วนผสมอาหารที่ราคาถูกลง รวมถึงลดโอทีของพนักงาน

อีกด้านก็ต้องพยายามเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้แตกต่างหรือเหนือกว่าคู่แข่ง และเสริมจุดแข็งจากชื่อเสียงและคุณภาพอาหารไทยที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก เช่น ผลิตภัณฑ์พร้อมทาน (Ready to Eat) ที่ชูจุดเด่นรสชาติไทยที่คู่แข่งตามรอยได้ยาก หรือผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลที่มีโอกาสเติบโต รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าที่มี Margin กำไรสูง อย่างอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมี่ยม

นอกจากนี้ยังเร่งขยายตลาด โดยเฉพาะการหาตลาดใหม่เพื่อมาทดแทนตลาดสหรัฐ เช่น ตลาดตะวันออกลาง ที่ไทยมีความพร้อมด้านผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลอยู่แล้ว สำหรับลูกค้าในตลาดเดิม เช่น ญี่ปุ่น และยุโรป ก็พยายามขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น และดึงส่วนแบ่งการตลาดที่เคยเสียให้กับคู่แข่งกลับคืนมา เนื่องจากยังมีผู้บริโภคในตลาดนี้ที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านคุณภาพซึ่งเป็นจุดแข็งหลักของไทย

ชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อ : เปลี่ยนตลาด ป้อนลูกค้าอุตสาหกรรมอื่น

ชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อมีสัดส่วนเป็น 1.6% ของจีดีพี และทำให้เกิดการจ้างงานในเศรษฐกิจ 1.63 ล้านตำแหน่ง (4.1% ของแรงงานไทย) อีกทั้งมีธุรกิจ SMEs จำนวนมากที่ผลิตชิ้นส่วนและอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจยานยนต์รายใหญ่ โดยพบว่า บางรายปรับรูปแบบการผลิต จากเดิมที่รับจ้างผลิตชิ้นส่วน OEM (Original Equipment Manufacturer) ให้กับผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ ไปเป็นการผลิตชิ้นส่วนสำหรับตลาดซ่อมบำรุง (Replacement Equipment Manufacturing) ซึ่งต้องทำการตลาดและหาลูกค้าส่งออกเพิ่มด้วยตัวเอง

ในช่วงที่ผ่านมา พบว่าความต้องการจากตลาดตะวันออกกลางและแอฟริกาขยายตัวดี นอกจากนี้ ผู้ประกอบการบางรายยังเปลี่ยนไปผลิตสินค้าป้อนลูกค้าในอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้น เช่น ชิ้นส่วนทางการแพทย์ และเครื่องจักรทางการเกษตร

กลุ่มโดนกระแทกจากสินค้าทะลัก

อีกกลุ่มธุรกิจที่ผลกระทบจะมาในรูปการแข่งขันที่รุนแรง จากการทะลักของสินค้าต่างประเทศ และอาจแย่งตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม พลาสติก ปิโตรเคมี และเหล็ก ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่เป็น SMEs และมีความสำคัญต่อการจ้างงานเช่นกัน

ขอเล่าถึงธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่มีสัดส่วนเป็น 0.8% ของจีดีพี และเป็น SMEs กว่า 1.2 แสนราย รวมถึงมีแรงงานในอุตสาหกรรม 2.72 ล้านคน (6.8% ของแรงงานไทย) เราเห็นการปรับตัวที่น่าสนใจ คือ บางส่วนสามารถยกระดับเป็น Value Player ที่เน้นลูกค้าระดับกลางถึงบน เพราะรู้ดีว่าการแข่งผลิตสินค้า Mass จะไม่มีทางต่อกรกับผู้ผลิตรายใหญ่อย่างจีนและเวียดนามได้ จึงหันมาผลิตสินค้า Small Lots ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างเช่น เสื้อกีฬา (เสื้อโยคะ เสื้อฮอกกี้) และเสื้อผ้าแบรนด์ของดีไซเนอร์ หรืออินฟลูเอนเซอร์

นอกเหนือจากที่ชวนคุยข้างต้นแล้ว ก็ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่ยังต้องติดตามผลกระทบอย่างใกล้ชิด ตัวอย่าง เช่น ธุรกิจเกษตรและเกษตรแปรรูป ที่อาจได้รับผลกระทบหลังจากไทยเปิดตลาดให้สหรัฐ หรือธุรกิจในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่อาจถูกกระทบจากการที่ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดให้สหรัฐเข้าไปแข่งขันด้วย

ท้ายที่สุดนี้ ความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจ คือ หัวใจสำคัญในการยกระดับความสามารถการแข่งขันของประเทศ ที่ผ่านมาเราเห็นความพยายามของผู้ประกอบการไทย แต่การปรับตัวไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ SMEs ดังนั้น ความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นอีกส่วนที่จะเอื้อให้ธุรกิจไทยสามารถปรับตัวและเดินไปข้างหน้าได้

อย่างที่เคยมาเล่าสู่กันฟังไปแล้ว ทั้งมาตรการเชิงป้องกันการไหลทะลักของสินค้าไม่ได้มาตรฐาน การปรับกระบวนการภาครัฐเพื่อช่วยลดต้นทุนในการปรับตัวและการดำเนินการของธุรกิจ รวมทั้งการช่วยเหลือด้านเงินทุน เพื่อให้การปรับตัวสะดวก ทำได้ง่าย และช่วยให้เอกชนไทยมีความพร้อมที่จะแข่งขันได้ในตลาดการค้าโลกที่เปลี่ยนไปได้อย่างทันท่วงที

ท่านผู้อ่านของเราล่ะคะ อยู่ในภาคธุรกิจไหน ? ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการหรือลูกจ้างเราก็ขอเป็นกำลังใจให้เอาชนะกำแพงภาษี ปรับตัว และดำเนินธุรกิจต่อไป ทุกท่านไม่เพียงเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทย แต่ยังเป็นฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนความหวังและอนาคตของประเทศให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง


แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.